Friday, October 20, 2006

ตำรวจกับกระบวนการยุติธรรมในสหรัฐอเมริกา


ตำรวจกับกระบวนการยุติธรรมในสหรัฐอเมริกา
พ.ต.ท.ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ
[1]


ส่วนที่ 1: โครงสร้างตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ

ในบทความเรื่อง “ตู้เกมส์กับการพนัน”[2] ข้าพเจ้า ได้กล่าวถึงระบบกฎหมายอาญาของประเทศสหรัฐอเมริกาไปคร่าว ๆ แล้วว่า แต่ละรัฐจะมีอิสระในการออกกฎหมายอาญาของตนเอง โดยรัฐบาลกลาง (Federal Government) จะไม่แทรกแซงในเรื่องของการกำหนดว่าการกระทำใดจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ อย่างไร และมีหลักเกณฑ์ในการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอย่างไร อันเป็นเหตุผลมาจากพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ในการรวมตัวเป็นสหรัฐอเมริกาในอดีตที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลกลาง มีอำนาจมากเกินไปจนถึงขนาดที่จะเข้ามาควบคุมรัฐบาลของมลรัฐได้ โดยทั้งนี้ ในอดีตนั้น เป็นที่ยอมรับว่า รัฐบาลแห่งมลรัฐเท่านั้นที่ควรจะทำหน้าที่ปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน อย่างไรก็ตาม ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐที่เขียนแบ่งแยกอำนาจอย่างชัดเจนทั้งในแนวราบ และแนวดิ่ง โดยในแนวราบที่ว่า ก็คือ การแบ่งแยกอำนาจตามหลักการ Separation of Powers ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ส่วนในแนวดิ่ง ก็จะแบ่งแยกอำนาจระหว่างรัฐบาลมลรัฐ และรัฐบาลกลาง อย่างชัดเจนเช่นกัน และศาลจะต้องพึงยึดมั่นเสมอ[3]
รัฐบาลกลางจะมีอำนาจในการออกกฎหมายที่มุ่งควบคุมกิจกรรมของรัฐบาลในระดับมลรัฐได้ในเฉพาะสิ่งที่กำหนดไว้ ซึ่งเรียกว่า Enumerated Powers[4] เช่น อำนาจเกี่ยวกับการจัดทำถนนหนทาง อำนาจทางการฑูต และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อำนาจเกี่ยวกับการไปรษณีย์ [5] อำนาจทางทหาร และอำนาจเกี่ยวกับการควบคุมการค้าระหว่างมลรัฐ หรือ Interstate Commerce[6] ด้วยเหตุนี้ อำนาจที่เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement) และการจัดตั้งหน่วยงานในการบังคับใช้กฎหมายทั้งหลาย ตั้งแต่องค์กรตำรวจ และ Sheriff รวมถึงองค์กรอัยการนั้น จึงเป็นเรื่องที่มลรัฐมีอำนาจดำเนินการทั้งสิ้น เว้นแต่ จะเป็นการดำเนินคดีของระดับรัฐบาลกลาง ซึ่งรัฐบาลย่อมจะจัดตั้งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เช่น F.B.I อัยการ และศาล ขึ้นเพื่อดำเนินการบังคับใช้กฎหมายนั้น ๆ [7]

ส่วนที่ 2 บทบาทและหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานอัยการ และ ศาล

2.1 บทบาทของตำรวจในการสืบสวนคดีอาญา

ความจริงในเรื่องนี้ ได้เคยมีนักวิชาการของประเทศไทยกล่าวถึงไว้เป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้พูดถึงภาพรวมในการดำเนินคดีอาญาสักเท่าไหร่ และข้อเท็จจริงบางอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างมากเช่นกัน [8] โดยเฉพาะในเรื่องของการให้พนักงานอัยการเข้ามา “ควบคุม” การดำเนินการคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ในปัจจุบันนี้ บทบาทของตำรวจและอัยการในการดำเนินคดีอาญา หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ โดยในทางข้อเท็จจริงเป็นที่ยอมรับว่า องค์กรในกระบวนการยุติธรรมมีอำนาจดุลพินิจ (Discretion) ในการดำเนินคดีและเริ่มต้นคดีของตนเอง เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้มีอำนาจดุลพินิจสูงมาก โดยในทางการบริหารงานตำรวจและทางกฎหมายนั้น ได้ยอมรับในหลักการความจำเป็นและข้อจำกัดในทางทรัพยากร (resource) ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อาจจะทุ่มเททรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดทั้งหมดไปดำเนินการสืบสวนสอบสวนกับความผิดที่เกิดขึ้นในเขตท้องที่ของตนได้ทุกคดี ด้วยเหตุนี้ หากมีคดีเกิดขึ้นในเขตท้องที่ ตำรวจก็จะพิจารณาถึงลักษณะความร้ายแรงของการกระทำผิด ความเสียหายต่อเหยื่ออาชญากรรม ร่องรอยพยานหลักฐานที่สามารถนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลในการสืบสวนสอบสวนได้ รวมถึงปัจจัยทางทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดประกอบกัน หลังจากนั้น ก็จะพิจารณาถึงลำดับความสำคัญของคดี (Priority) ซึ่งจะขึ้นอยู่กับเขตท้องที่เป็นสำคัญ เช่น คดีลักรถยนต์ ในท้องที่หนึ่งอาจจะสำคัญ แต่อีกท้องที่หนึ่งอาจจะสำคัญน้อยกว่าคดีประเภทฆาตรกรรมเป็นต้น และในกรณีที่เห็นว่าคดีนั้นไม่อาจจะสืบสวนต่อไปได้ ตำรวจก็จะบันทึกข้อมูลเก็บไว้เป็นสถิติเท่านั้น จะไม่ทุ่มเททรัพยากรลงไปสืบสวนสอบสวน ซึ่งต่างจากประเทศไทยเรามาก เพราะกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของเรากำหนดให้พนักงานสอบสวนจะต้องรับคำร้องทุกข์ทันที โดยไม่ต้องใช้ดุลพินิจ แม้กระทั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเคยกำหนดระเบียบให้ดำเนินการสืบสวนก่อนรับคำร้องทุกข์ เพราะมีปัญหาหลายประการที่เกิดจากการรับคำร้องทุกข์และภายหลังพบว่าไม่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นจริง แต่ระเบียบนี้ ก็ต้องถูกยกเลิกไปตามนัยความเห็นทางกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา[9] ซึ่งในข้อเท็จจริงทำให้พนักงานสอบสวนมีงานล้นมือ และไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งสถิติคดีอาญาที่เกิดขึ้นจริง กับที่รับคำร้องทุกข์ก็จะผิดเพี้ยนกันไป เพราะพนักงานสอบสวนก็จะพยายาม “เป่าคดี” เพื่อจะได้ไม่ต้องทำสำนวนคดีเพื่อส่งพนักงานอัยการในประเภทสำนวนไม่มีตัวแต่ประการใด สำหรับในประเทศสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะจดบันทึกข้อมูล เพื่อเก็บสถิติ และหากมีการจับตัวได้ภายหลังก็จะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้ โดยในกรณีที่ไม่มีการสืบสวนสอบสวนนี้ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่จำเป็นต้องส่งเอกสารหรือสำนวนคดีต่อพนักงานอัยการแต่ประการ เพราะถือว่าเป็นการใช้ดุลพินิจในการที่จะไม่สืบสวนสอบสวนคดีที่เกิดขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าจะเป็นในคดีที่มีเหยื่ออาชญากรรม แต่ไม่ร้ายแรง และไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำผิดได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะทำการสืบสวนอยู่ในชั่วระยะเวลาที่จำเป็นเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะดุลพินิจยุติการสืบสวนสอบสวนโดยไม่ต้องส่งเอกสารใด ๆ ให้พนักงานอัยการเห็นชอบเหมือนประเทศไทย

2.2 บทบาทของพนักงานอัยการที่เกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

พนักงานอัยการและตำรวจในสหรัฐอเมริกานั้น จริงอยู่แม้จะทำงานใกล้ชิดกันอยู่บ้าง แต่ก็พนักงานอัยการ ก็จะทำงานในลักษณะเป็นที่ปรึกษาในคดีอาญาเท่านั้น และข้อเท็จจริงนี้ ก็เป็นจริงเฉพาะในคดีที่มีความสำคัญและร้ายแรง (Serious Crime) เช่น คดียาเสพติด เป็นต้น ซึ่งเป็นการทำงานในลักษณะที่เรียกว่า “เคียงบ่าเคียงไหล่” ตามนโยบายแห่งรัฐในการต่อสู้กับอาชญากรรม ซึ่งไม่ใช่ การทำงานในลักษณะที่เรียกว่า “การควบคุม” และข้อเท็จจริงที่สำคัญก็คือ พนักงานอัยการในสหรัฐอเมริกานั้น แทบจะไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องการดำเนินการสอบสวนคดีอาญาของฝ่ายตำรวจ หรือ การเริ่มต้นการดำเนินคดีกับฝ่ายตำรวจเลยแม้แต่น้อย เว้นแต่ฝ่ายตำรวจจะร้องขอความช่วยเหลือในลักษณะให้คำปรึกษา อีกทั้งการดำเนินการให้ความช่วยเหลือให้คำแนะนำทางกฎหมายนั้น พนักงานอัยการก็จะระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า Unfair Prejudicial Impact ต่อฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาได้ เพราะสถานภาพมันขัดกันในตัวเอง ด้วยเหตุนี้ พนักงานอัยการที่เข้ามาช่วยเหลือในการให้คำปรึกษาในการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานในคดีร้ายแรงนั้น ก็จะต้องไม่เป็นพนักงานอัยการคนเดียวกับที่จะเป็นผู้ฟ้องคดีต่อศาล [10]

ด้วยเหตุนี้ พนักงานอัยการและเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำงานในลักษณะที่ใกล้ชิดกันเฉพาะในกรณีที่เป็นคดีอาญาร้ายแรงและตามที่พนักงานสอบสวนร้องขอเท่านั้น ทั้งนี้โดยปกติแล้ว พนักงานอัยการจะมีบทบาทในการดำเนินคดีอาญา ก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานเพียงพอแล้ว จึงส่งสำนวนให้พนักงานอัยการดำเนินการต่อไป หากจะถามถึงเหตุผลว่าเหตุใด พนักงานสอบสวนจึงร้องขอความช่วยเหลือจากพนักงานอัยการในฐานะที่ปรึกษากฎหมาย ก็อาจจะเป็นเพราะพนักงานอัยการมีความรู้ทางกฎหมายที่สูงกว่าฝ่ายตำรวจ โดยพนักงานอัยการจะต้องสำเร็จการศึกษาทางกฎหมาย (Jurist Doctor) และสอบผ่านการสอบเนติบัณฑิตของแต่ละรัฐ แล้วจึงเข้าสู่อาชีพพนักงานอัยการโดยการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งแล้วแต่กฎหมายของแต่ละรัฐ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนใหญ่จะสำเร็จการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรจาก High School และ College และมีส่วนน้อยที่สำเร็จในระดับปริญญาตรี หรือสูงกว่าปริญญา อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าแปลกใจมากสำหรับนักกฎหมายในประเทศไทย คือ อัตราเงินเดือนของพนักงานอัยการและเจ้าหน้าที่ตำรวจในสหรัฐอเมริกานั้นมีความแตกต่างกันน้อยมาก[11] ซึ่งอาจจะเป็นเพราะงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นมีความเสี่ยงภัยสูงมาก ต่างจากพนักงานอัยการที่ทำงานในสำนักงานและมีเครื่องมือทางกฎหมายที่สนับสนุนการทำงานมากมาย เช่น การต่อรองคำรับสารภาพ (Plea Bargaining)[12] และดุลพินิจในการไม่ฟ้องบางข้อหาหนักและเสนอการฟ้องร้องในข้อหาที่เบากว่าต่อผู้ต้องหาในการฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งโดยปกติ ศาลจะไม่แทรกแซงดุลพินิจของอัยการนี้เช่นกัน โดยอาศัยพื้นฐานตามหลักการ Separation of Powers เช่นเดียวกัน [13]


2.3 บทบาทของศาลที่เกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ศาลมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรทัดฐานในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายประการ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลักการที่ปรากฎตามรัฐธรรมนูญ คือ The Fourth, Fifth และ Sixth Amendment กล่าวโดยสรุป ศาลได้วางบรรทัดฐานการปฏิบัติให้เจ้าหน้าที่ตำรวจว่าด้วยการค้นและจับกุม รวมถึงการสืบสวนสอบสวนว่าจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์แห่งกฎหมายทั้งในด้านเนื้อหาและกระบวนการ (Substantive and Procedural Due Process) ซึ่งต่อมาสภา Congress ได้นำหลักเกณฑ์ต่าง ๆที่ The U.S. Supreme Court ได้พิพากษาไว้ ออกเป็นกฎหมายเพื่อวางมาตรฐานในการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาไว้ ซึ่งได้แก่ Federal Rules of Criminal Procedure
หลักการที่สำคัญ ๆ ได้แก่

(1) หลักการการดำเนินคดีที่เป็นธรรม (Fundamental Fairness) ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องไม่ใช้วิธีการที่รุนแรงเกินหลักการแห่งความสมเหตุสมผล ในลักษณะที่บุคคลทั่วไปไม่อาจคาดคิดได้ หรือ ถึงขนาดทรมาน หรือ ใช้วิธีการอื่น ๆ ที่ถึงขนาด shock the conscience ของประชาชนทั่วไป การดำเนินการดำเนินการแสวงหาพยานหลักฐานนั้นก็จะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ[14]

(2) หลักการสืบสวนสอบสวน การตรวจค้น และจับกุม ตามกระบวนการตามกฎหมาย (Due process of law)[15] เช่น ประชาชนย่อมได้รับการคุ้มครองจากการตรวจค้นและจับกุมโดยไม่มีหมายค้นจากศาล และเมื่อทำการจับกุมแล้ว ก่อนเริ่มทำการสอบสวนปากคำผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบถึงสิทธิของตนตามรัฐธรรมนูญ เช่น สิทธิในการไม่พูด และหากผู้ต้องหาพูดหรือให้การใด ๆ สิ่งนั้นย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้ ซึ่งศาลได้สร้างหลักการที่เรียกว่า Miranda Warning ขึ้นมา หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทำตามแนวทางดังกล่าว พยานหลักฐานที่ได้มาจากการสอบสวนย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย และถูกตัดออกจากกระบวนพิจารณา ตามหลัก exclusionary rule[16] นอกจากนี้ ศาลยังสร้างหลักการที่สำคัญอื่น ๆ เช่น การสร้างบรรทัดฐานของหลักการจับกุมที่จะต้องมีหลักฐานพอสมควร (probable cause) และข้อยกเว้นของการจับกุมที่ไม่ต้องถึงขนาดต้องมี Probable Cause แต่แค่มีเหตุอันควรสงสัย หรือ reasonable suspicion[17] เป็นต้น ซึ่งศาลได้ยอมรับหลักการแบ่งแยกอำนาจและการมีอำนาจดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานอัยการ ศาลจึงไม่เข้าแทรกแซงการใช้ดุลพินิจที่อยู่บนพื้นฐานหลักเหตุผล ของฝ่ายบริหาร ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ และพนักงานอัยการตามที่ได้กล่าวไปแล้ว[18] ซึ่งหากจะพิจารณากันตามข้อเท็จจริงแล้ว ศาลของสหรัฐอเมริกานั้น จะมีอำนาจที่สำคัญในส่วนที่เกี่ยวกับพยานหลักฐาน แต่ก็ถูกจำกัดโดย Federal Rule of Evidence ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าพยานหลักฐานใดจะรับเข้าสู่กระบวนพิจารณาได้บ้างและรับไม่ได้บ้าง[19] ศาลจึงถูกจำกัดการใช้ดุลพินิจค่อนข้างมากหากเทียบกับพนักงานอัยการและเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะในชั้นการของการลงโทษ (Sentencing) ศาลจะต้องปฏิบัติตาม Federal Sentencing Guideline ซึ่งเป็นระบบตารางการคำนวณคะแนนระหว่างความร้ายแรงุของการกระทำผิด กับประวัติการกระทำผิดของจำเลยนั้น ซึ่งค่อนข้างจะแน่นอนตายตัว ซึ่งโดยหลักการแล้ว ศาลไม่อาจใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่น หากไม่มีข้อเท็จจริงและสภาวะแวดล้อมที่แทรกซ้อนเข้ามาเป็นกรณีพิเศษ[20] แม้ในปัจจุบัน สถานะของ Federal Sentencing Guideline จะเปลี่ยนไปเป็นเพียงแค่คำแนะนำหรือแนวทางให้แก่ศาลในการใช้ดุลพินิจก็ตาม แต่การที่ศาลได้ใช้แนวทางปฏิบัตินี้เป็นเวลานานกว่า 10 ปี ศาลย่อมจะต้องนำข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ได้รับจากกรมคุมประพฤติ (Probation Office) ซึ่งทำหน้าที่สืบเสาะและเสนอความเห็นในการลงโทษจำเลยในชั้นกำหนดโทษในทุกคดีไม่ว่าจะเป็นคดีเด็กหรือผู้ใหญ่ มาพิจารณาเสมอ[21] ซึ่งต่างจากศาลยุติธรรมของไทยเป็นอย่างยิ่ง (อนึ่ง เนื่องจากเรื่องนี้ อยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของบทความ กระผมจึงไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียดมากไปกว่านี้)

ส่วนที่ 3: โครงสร้างขององค์กรตำรวจในสหรัฐอเมริกา

องค์กรตำรวจของสหรัฐอเมริกาจะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ ขึ้นอยู่กับลักษณะเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสภาพปัญหาของท้องถิ่นนั้น ๆ ขนาดขององค์กรก็จะแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ตำรวจเมืองแชมเปญจ์ รัฐอิลลินอยด์ ก็จะมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียง 250 นาย ในขณะที่ ตำรวจเมืองชิคาโก้ จะมีกำลังประมาณ 14,000 นาย ส่วนตำรวจเมืองลอสเอลเจลลิส (LAPD) จะมีประมาณ 12,000 นาย หรือที่เมืองนิวยอร์ค (NYPD) ก็จะมีกำลังตำรวจประมาณ 25,000 นาย เป็นต้น

การจัดตั้งหน่วยงาน

องค์กรตำรวจแต่ละแห่งอาจจะจัดหน่วยงานแตกต่างกันไปตามลักษณะสภาพปัญหาของแต่ละท้องถิ่น ฉะนั้น สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ จึงเป็นลักษณะโครงสร้างของ Police Department ทั่ว ๆ ไป ซึ่งจะประกอบด้วยตำแหน่งและหน่วยต่าง ๆ ดังนี้

1. Chief Police เป็นหัวหน้าสูงสุดขององค์กร
2. Deputy Chief Police ซึ่งจะมีหน้าที่ในทางการบริหารทั่วไป เช่น การติดต่อ
ประสาน และการควบคุมการดำเนินการของตำรวจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของรัฐบาลมลรัฐ เป็นต้น
3. แผนกมาตรฐานวิชาชีพตำรวจ ( Professional Standard Unit or Internal Affair
Audit) หน่วยงานนี้ จะเป็นหน่วยอิสระ และขึ้นตรงต่อ Chief Police หรือ Deputy Chief Police ในการสืบสวนสอบสวนกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมายหรือประพฤติมิชอบด้วยประการใด ๆ (Misconduct)
4. หน่วยงานประเภท Bureau ซึ่งประกอบด้วยหลายแผนก แต่ละแผนก็จะมีหัวหน้าใน
ระดับ เช่น Major หรือ Captain และมีระดับ Lieutenant เป็นผู้ช่วย [22] เป็นต้นว่า

4.1) หน่วยสายตรวจ (Patrol) ซึ่งกำลังตำรวจประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ จะถูก
จัดเป็นสายตรวจ และ เจ้าหน้าที่ตำรวจสายอื่น ๆ จะต้องถูกหมุนเวียนมาเป็นสายตรวจ รวมถึงหัวหน้าองค์กรตำรวจนั้น ก็จะต้องผ่านงานสายตรวจมาด้วยเช่นกัน
4.2) หน่วยสืบสวน (Investigation) จะแบ่งเป็นหลายแผนก ตามประเภทคดี
และความชำนาญเฉพาะสายงาน โดยจะมีเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน (Detective) เป็นผู้ดำเนินการสืบสวนในแผนกต่าง ๆ ได้แก่
4.2.1) แผนกสืบสวนคดีต่อชีวิตร่างกาย หรือ Crime against person unit
4.2.2) แผนกสืบสวนคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ หรือ Crime against property unit
4.2.3) แผนกสืบสวนคดีที่เด็กตกเป็นผู้กระทำผิดหรือตกเป็นเหยื่อ Juvenile Unit
4.2.4) แผนกสืบสวนคดีอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ หรือ Computer Crime Unit
4.2.5) แผนกสืบสวนคดีสื่อลามก การพนัน โสเภณี และยาเสพติด หรือ Vice and Narcotic
4.2.6) แผนกสนับสนุนการตรวจที่เกิดเหตุเพื่อหาร่องรอยพยานหลักฐาน
Crime Science Investigation [23]
4.3) หน่วยตำรวจจราจร (Traffic) ซึ่งจะแบ่งเป็นสองแผนก[24] ได้แก่
4.3.1) แผนกสืบสวบสอบสวนคดีอุบัติเหตุจราจรร้ายแรง (Accident Investigation)
4.3.2) แผนกสายตรวจรถจักรยานยนต์ (Motorcycles) ซึ่งมีหน้าที่ในการ
ตรวจจับผู้กระทำผิดกฎหมายอาญา และออกใบสั่งอย่างเคร่งครัด
4.4) หน่วยบริหารและจัดการ (Administration) หน่วยงานนี้ จะทำหน้าทีบริหารงานด้านทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรตำรวจ แต่บุคคลากรในองค์กรนี้ จะเป็นพนักงานประเภท Civil employee ไม่แต่งเครื่องแบบ
4.5) หน่วยพิเศษ (Special Agent) ซึ่งจะทำหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลือตัวประกันโดย SWAT team หรือ ควบคุมฝูงชน (Crowd Control) และแผนกอื่น ๆ ตามความจำเป็น และพันธกิจขององค์กรตำรวจ

นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่คล้ายตำรวจอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า Sheriff หัวหน้าหน่วยงานนี้ จะทำหน้าที่คล้ายตำรวจ แต่มาจากการเลือกตั้ง และโดยปกติจะมีท้องที่ปฏิบัติหน้าที่เฉพาะในเขตรอบนอกของเมือง (rural area) หากจะเปรียบเทียบกับประเทศไทย ก็อาจจะเปรียบเทียบได้กับกำนันและผู้ใหญ่บ้าน โดย Chief Sheriff จะมีอำนาจหน้าที่ในการจัดการเกี่ยวกับการควบคุมตัวผู้อยู่ระหว่างการพิจาณาคดี หรือระหว่างการทำทัณฑ์บน โดยจัดการให้สถานที่ที่เรียกว่า Jail ซึ่งจัดเป็น Local Correction ในคดีความผิดไม่ร้ายแรง (Misdemeanor) นอกจากนี้ ยังมีอำนาจในการบังคับบังใช้กฎหมาย ตามที่เมืองมอบหมาย หรือจัดทำสัญญาในการให้บริการสาธารณะด้วย หากจะถามว่า เหตุใดสหรัฐอเมริกา จึงยังรักษาระบบ Sheriff ไว้ ก็อาจจะมีที่มาจากเหตุผลทางประวัติศาสตร์ อันเทียบเคียงได้กับการรักษาระบบกำนันผู้ใหญ่บ้านในเขตของกรุงเทพมหานคร ซึ่งอาจจะมีความจำเป็นน้อยลงไปทุกที

หลักการบริหารงานตำรวจที่แตกต่างจากประเทศไทยอีกประการหนึ่ง ระบบตำรวจในสหรัฐอเมริกานี้ นอกจากจะได้รับการคุ้มครองการเป็นอิสระในการทำงาน ตามกฎหมายข้าราชการพลเรือน (Civil Service) แล้ว ยังมีสหภาพแรงงาน (Labor Union) คุ้มครองอีกด้วย ฉะนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจในสหรัฐอเมริกาจึงมีสิทธิตามกฎหมายที่เรียกว่า Collective Bargaining[25] กับเมืองเกี่ยวกับเงื่อนไขการทำงาน (Condition of work) สวัสดิการ เงินเดือน และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของตำรวจเองด้วย ด้วยระบบนี้ การกำหนดนโยบายของตำรวจจึงต้องฟังเสียงและมติของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามแนวทางแห่งระบอบประชาธิปไตยด้วย

การจัดแบ่งสายงานในการสืบสวนคดีอาญาของตำรวจสหรัฐอเมริกา ไม่ได้แยกสายงานสืบสวนออกจากสายงานสอบสวนแบบในประเทศไทย แต่แบ่งไปเป็นตามแผนกตามความชำนาญเฉพาะด้าน ทำให้ไม่ประสบปัญหาแบบประเทศไทยที่ พนักงานสอบสวนไม่อาจพึ่งพาเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนและฝ่ายอื่น ๆ ได้ ทำให้พนักงานสอบสวนในประเทศไทยทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะไม่อาจระดมสรรพกำลังและทรัพยากรในฝ่ายอื่น ๆ เข้าร่วมทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานได้อย่างเต็มที่ การรวบรวมพยานหลักฐานในคดีอาญาจึงเป็นลักษณะที่ฝ่ายสืบสวนและฝ่ายสอบสวนต่างคนต่างทำ ผู้เขียนเชื่อว่า แม้จะมีหัวหน้างานเป็นรองผู้กำกับที่คุมทั้งฝ่ายสืบสวนและสอบสวนแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่อาจบูรณาการงานให้เป็นหนึ่งเดียวและมีประสิทธิภาพสูงสุดได้
สุดท้าย ผู้เขียนตั้งใจว่าจะนำเสนอในเรื่องกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาในภาพรวม และระบบอัยการของญี่ปุ่นที่นักวิชาการไทย อ้างว่าเป็นระบบที่ดีนั้นด้วย มีข้อเท็จจริงประการใด ระบบดำเนินคดีอาญาของญี่ปุ่นนั้นดีกว่าของประเทศไทยหรือไม่ และพนักงานอัยการญี่ปุ่นมีอำนาจมากเพียงใด รวมถึงการที่พนักงานอัยการสามารถใช้เทคนิควิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งคำรับสารภาพ โดยปราศจากสิทธิการมีทนายความนั้น จะเป็นการพัฒนากระบวนการยุติธรรมของไทยหรือไม่ และเหตุใด นักวิชาการไทยบางท่าน โดยเฉพาะจากฝ่ายสำนักงานอัยการ จึงมักจะอ้างระบบอัยการของญี่ปุ่นนั้นเสมอ[26] แล้วผู้เขียนจะได้นำเสนอในส่วนดังกล่าวในคราวต่อไปนี้ครับ

****************





[1] รป.บ.(ตร.), นบ.(เกียรตินิยม) มธ., น.บ.ท., นม.(กฎหมายมหาชน) มธ., รม.(บริหารรัฐกิจ) มธ., LL.M. (Indiana University), LL.M. candidate (University of Illinois at Urbana-Champaign)
[2] โปรดดู ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ, “ตู้เกมส์กับการพนัน”, < http://www.office.police.go.th/wanchai/article17.htm> , (February, 2005)
[3] Richard J. Bonnie, et al., Criminal Law, 2nd ed., 85-88, New York: Foundation Press: 2004
[4] โปรดดู The 10th Amendment ของรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา มาตรานี้ กำหนดอย่างชัดเจนว่า อำนาจใดที่ไม่ได้ระบุว่าเป็นของรัฐบาลกลาง รัฐบาลมลรัฐย่อมมีอำนาจในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งสิ้น
[5] อำนาจเกี่ยวกับการไปรษณีย์นี้มีความสำคัญมาก เพราะรัฐบาลสามารถเก็บอากรและหารายได้เข้าคลังได้จำนวนมาก อีกทั้ง ยังสามารถออกกฎหมายที่มีความผิดทางอาญาในความผิดฐานฉ้อโกงโดยอาศัยวิธีการส่งเอกสารไปทางยังผู้เสียหาย เพื่อทำอุบายให้ได้ทรัพย์สินมาจากผู้เสียหาย ที่เรียกว่า Mai Fraud โดย Mai Fraud Statute นี้ ได้ถูกบัญญัติมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1872 รวมถึงอาชญากรรมคอปกขาว หรือ White Collar Crime ก็ล้วนแต่เกี่ยวพันกับการใช้อำนาจนี้ด้วย โปรดดูรายละเอียดใน 18 U.S.C. §1341-1346
[6] หลักการนี้ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบทความนี้ หมายถึง การให้อำนาจแก่รัฐบาลกลาง โดยสภา Congress ในการบัญญัติกฎหมายในระดับ Federal Law ที่มีความผิดทางอาญา มาใช้บังคับทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา หากรัฐบาลกลางเห็นว่าการกระทำใด อาจจะมีผลกระทบหรือเป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างมลรัฐ รัฐบาลกลาง ก็มักจะอ้างหลักการนี้ มาใช้ในการบัญญัติกฎหมายเสมอ นอกจากนี้ หลักการนี้ ยังเป็นหลักการที่จะควบคุมมิให้รัฐบาลมลรัฐออกกฎหมายหรือมาตรการใด ๆ ออกเพื่อกีดกันหรือสร้างอุปสรรคทางการค้าระหว่างมลรัฐอีกด้วย โปรดดูรายละเอียดใน William Cohen, et al, 11 Constitutional Law: case and materials, New York: Foundation Press, 2001
[7] Frank Schmalleger, “Criminal Justice Today: An Introductory Text for the 21st Century,” 4 ed, New York: Prentice-Hall, 1997.
[8] โปรดดูรายละเอียดใน เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์. “การควบคุมอำนาจพนักงานสอบสวน ตัวอย่างของสหรัฐอเมริกา.” วารสารนิติศาสตร์ 4 , มีนาคม-พฤษภาคม 2521 และ ธเนศ ชาลี, “มาตรการควบคุมการเริ่มต้นคดีของตำรวจ” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2540
[9] โปรดดูรายละเอียดใน ความเห็นทางกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ใน <http://www.krisdika.go.th/searchResult.jsp?head=4 >
[10] I am grateful to Professor Tom Dempsey, Director of Police Training Institute, University of Illinois, who grants me many invaluable materials about the Policing Management and Criminal Justice System in the United States of America.
[11] ตัวอย่างเช่น เงินเดือนของตำรวจใหม่ ในเมือง Champaign Illinois จะเริ่มต้นที่ประมาณ 40,000 เหรียญต่อปี และพนักงานอัยการระดับเริ่มต้นจะได้รับประมาณ 50,000 เหรียญต่อปี อย่างไรก็ตาม เงินเดือนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการ จะแตกต่างกันไปในแต่ละมลรัฐ ตามอัตราค่าครองชีพของรัฐนั้น ๆ
[12] เรื่องการต่อรองคำรับสารภาพนี้ ในระบบกฎหมายของสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นอาวุธสำคัญของพนักงานอัยการเลยทีเดียว เพราะพนักงานอัยการสามารถใช้วิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะรุนแรงเพียงใด เพื่อให้ผู้ต้องหายอมที่จะให้การรับสารภาพ หากยังอยู่กรอบแห่ง Give and Take แล้วย่อม ไม่อาจจถือว่าขัดรัฐธรรมนูญแต่ประการใด เช่น พนักงานอัยการ อาจจะทำความตกลงกับผู้ต้องหาว่าให้รับสารภาพในข้อหาเบา เพื่อไม่ฟ้องในข้อหาหนักที่มีพยานหลักฐานอ่อน หรือไม่เพียงพอที่จะฟ้องได้ แต่หากภายหลังผู้ต้องหาปฎิเสธไม่ยอมรับสารภาพในชั้นพิจารณา พนักงานอัยการสามารถนำกฎหมายที่มีบทเพิ่มโทษที่รุนแรงกว่าการกระทำผิดในปัจจุบันมาใช้ได้ภายในกรอบกฎหมาย และไม่ถือว่าเป็นการแก้แค้น (Vindictive) โดยการดำเนินการของพนักงานอัยการ จะต้องไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่จะเป็นการลงโทษผู้ต้องหาหรือจำเลย อันเนื่องมาจากการใช้สิทธิที่จะไม่ให้การปรักปรำตนเอง และสิทธิในการได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม ตาม Fifth and Sixth Amendment.
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของวิธีการต่อรองคำรับสารภาพนี้ ก็คือ ผู้เสียหายหรือเหยื่อของอาชญากร ไม่อาจจะมีส่วนร่วมหรือคำคัดค้านในการต่อรองคำรับสารภาพของจำเลยได้ ผู้เสียหายทำได้เพียง แถลงการณ์ต่อศาลถึงเหตุที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ ศาลจะยอมรับดุลพินิจของอัยการในการต่อรองคำรับสารภาพเป็นสำคัญ และ ยังมีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่า การต่อรองคำรับสารภาพนี้ ทำให้กระบวนการยุติธรรมกลายเป็นตลาด (Market) ที่น่ากลัว เนื่องจากอัยการและจำเลยมักจะเล่นเกมส์ต่อรองโทษ เหมือนต่อรองราคาผักผลไม้ในตลาด เพื่อให้ได้ the best deal และในที่สุด อัยการก็จะเชื่อว่า จำเลยทุกคนมักจะให้การปฏิเสธไว้ก่อน เพื่อที่จะได้รับผลสุดท้ายที่ดีขึ้นไปเรื่อย เพราะในที่สุด อัยการก็จะเสนอโทษที่เบาลงไปเรื่อย จนท้ายที่สุด จำเลยก็ยอมรับสารภาพ แม้กระทั่งในกรณีที่ จำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ก็ต้องยอมแพ้ต่อระบบการต่อรองนี้เสมอ
[13] ในเรื่องดุลพินิจของพนักงานอัยการนี้ ผู้เขียนได้เคยศึกษาในวิชาสัมมนากฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยโทษประหารชีวิต และได้พบว่า พนักงานอัยการในสหรัฐอเมริกามีดุลพินิจอย่างกว้างขวาง โดยผู้เขียนได้สรุปว่าในเรื่องนี้ ดังนี้
In United States v. Pollard, 959 F.2d 1011(1992)., the Court held that almost anything lawfully within the power of a prosecutor acting in good faith can be offered in exchange for a guilty plea.
The discretion of the prosecutor is very broad, and the Supreme Court is reluctant to intervene or review the discretion of prosecutor. Inmates of Attica Correctional Facility v. Rockefeller, the Court held that the prosecutors have the breadth of discretion in prosecuting discretion, and the judiciary may not compel the prosecution of a crime. Moreover, in Bordenkircher v. Hayes, 434 U.S.357 (1987)., the Court held that so long as the prosecutor has probable cause to believe that the accused committed and offense defined by statute, the decision whether or not to prosecute, and what charge to file or bring before a grand jury, generally rests entirely in his discretion.
However, a prosecutor’s discretion is subject to constitutional constraints. United States v. Batchelder. One of this constrains, imposed by the equal protection component of the Due Process Clause of the Fifth Amendment, is that the decision may not be based on an unjustifiable standard such as race, religion, or the other arbitrary classification. Furthermore, in Pepole v. Kail, The Court held that a state may not selectively enforce a municipal ordinance to achieve an unrelated government purpose.
นอกจากนี้ โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน Ronald Jay Allen, et al, Comprehensive criminal procedure, New York: Aspen Law & Business, 2001
[14] Powell v. Alabama, 287 U.S. 45 (1932), which the Court ruled that the necessity of counsel is vital and imperative to a sense of justice which no member of a free society would disregard. Moreover, in Brown v. Mississippi (1936), the Court ruled that “the torture chamber may not be substituted for the witness stand;” this case brought about the ending of the human brutality; and no confession from the torture can be used as the witness; any means which shock the conscience cannot pass the muster of the due process. In addition, in Rochin v. California, 342 U.S. 165 (1952), the Court ruled that the police cannot use the means to obtain the evidence by stomach pumping.
[15] Mapp v. Ohio, 367 U.S. 643 (1961), the Court provided meaning of the “Exclusionary Rule” conforming to the Fourth Amendment.
[16] Miranda v. Arizona, 384 U.S. 436 (1966), the Court defined the means that was consistent with the Fifth Amendment; the Court said that “ the restrains society must observe consistent with the Federal Constitution in the prosecuting individuals for crime “ no person shall be compelled in any criminal case to be a witness against himself.”
[17] Terry v. Ohio, 392 U.S. 1 (1968), the Court ruled about the police power to stop and frisk the suspect in the public place if they had some reasonable suspicion depending on the circumstances.
[18] หลักการนี้ เป็นหลักการทั่วไปในการตีความกฎหมายของศาลสูงสหรัฐอเมริกา เช่นในคดี Haggar Apperel Co. v. The United States, 222 F. 3d 1337 (2000) โดยศาลได้วางหลักการที่เป็น Authoritative judgment ว่า : “Defendant’s statutory interpretation was reasonable and entitled to deference. Defendant’s application of its regulation to the permapressing operation conducted on plaintiff’s imported articles was not incorrect. Defendant’s determination that the pants did not qualify for a partial exception from duty had to be sustained.”

[19] โปรดดูรายละเอียด Federal Rule of Evidence 401-411 เพิ่มเติม ใน George Fisher, Evidence, New York: Foundation Press, 2002
[20] Demleitner, et al, Sentencing Law and Policy: Cases, Statutes, and Guidelines, New York: APEN, 2004.
[21] โปรดดูรายละเอียดใน UNITED STATES v. FREDDIE J. BOOKER, 2005 U.S. LEXIS 628 (January 12, 2005)

[22] โครงสร้างขององค์กรตำรวจนี้ เป็นแบบกึ่งทหาร ซึ่งพัฒนาจาก Watch Committee ตามแบบอังกฤษ ที่ตกทอดมา ตั้งแต่สมัยยังเป็นอาณานิคม แต่อย่างไรก็ตาม ยศของตำรวจนี้ คงไม่ได้แปลอย่างที่คนไทยมักจะแปลกัน เช่น คำว่า Captain มีความหมายหลายประการ เช่น ผู้นำ หัวหน้า กับตันเรือ ร้อยเอก หรือ หัวหน้านักบิน รวมถึง การเป็นผู้นำ หรือเป็นผู้บังคับบัญชาสั่งการ
[23] อย่างไรก็ตาม หน่วยงานนี้ องค์กรตำรวจบางแห่งจัดไว้ในแผนกสายตรวจ หรือ อาจจะจัดไว้ในหน่วยพิเศษ (Special Agent)
[24] เนื่องจากคดีอุบัติเหตุร้ายแรงในสหรัฐอเมริกา จะถูกประกาศให้เป็นคดีอาชญากรรมร้ายแรง ผู้กระทำผิดกฎหมายจราจร เช่น ขับรถยนต์เฉี่ยวชนโดยเฉพาะเมาสุรา จะถูกดำเนินคดีอาญาอย่างร้ายแรง ซึ่งถ้ามีผู้เสียชีวิต ผู้กระทำผิดจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่และต้องโทษจำคุก เป็นต้น หน่วย

[25] โปรดดูรายละเอียดแนวคิดและหลักการในเรื่องนี้ใน ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ, “สิทธิและเสรีภาพในการจัดตั้งสหภาพแรงงานใน
ระบบราชการไทย,” สารนิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2546
[26] โปรดดูรายละเอียดระบบการดำเนินคดีของประเทศญี่ปุ่น ที่ Melissa Clack, “Caught Between Hope and Despair: An Analysis of the Japanese Criminal Justice System”, available at < http://www.law.du.edu/ilj/onlin.PDF> (Last visited in December, 2004)

No comments: