Wednesday, March 07, 2007

ท่าน ครม. ครับ... คุกไม่ได้มีไว้ขังหมาเท่านั้นนะครับ

ผมได้เขียน เรื่องคุกไม่ได้มีไว้ขังหมาเท่านั้น .......ไว้ใน Msn space กรณีที่ ครม. มีมติ ปิดสถานีโทรทัศน์ ไอทีวีแล้ว แต่ขอนำมาขยายความที่นี่




ต่อจาก blog ก่อน ที่ผมได้คาดการณ์ไว้ ก็เป็นไปตามคาดครับ .... ศาลปกครอง ต้องเข้ามาคุ้มครอง การดำเนินการของ สถานีไอทีวี อย่างแน่นอน ตามหลักกฎหมายมหาชน (Public Law) ง่าย ๆ ธรรมดา ๆ ที่ว่าไปแล้ว

เรื่องไอทีวีนี่ ชัดเจนมาก เป็นไปตาม พรบ.จัดตั้งศาลปกครองฯ ที่ระบุไว้ว่า "สัญญาทางปกครอง รวมถึง สัญญาสัมปทานด้วย" กล่าวคือ รัฐให้เอกชนเข้ามาร้องขอสัมปทาน เพื่อจัดทำบริการสาธารณะ (Public Service) แม้เอกชนจะผิดสัญญา รัฐก็จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบในการให้ปฏิบัติเป็นไปตามสัญญาให้ได้ เพราะบริการสาธารณะจะขาดตอนลงไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว นั่นคือ หลักธรรมดาทั่วไป

ถามว่า สัญญาทางปกครอง มันต่างจากสัญญาเอกชนอย่างไร แน่นอนครับ รัฐมีอำนาจฝ่ายเดียวที่จะเปลี่ยนหลักการของสัญญาอย่างค่อนข้างเด็ดขาด แต่หมายถึง การเปลี่ยนแปลง เรื่องการบริหารงาน หรือ หลักการที่ไม่กระทบต่อตัวสัญญาหรือการดำเนินการ เว้นแต่ ความจำเป็นต่อการบริหารงานสาธารณะจะเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลง เช่นว่า สมมุติว่า รัฐเคยให้ประชาชนเข้ามาจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดให้แสงสว่างในเวลากลางคืนเป็นเวลา ๒๐ ปี วันดีคืนดี มีไฟฟ้าเข้ามา รัฐก็สามารถปรับเปลี่ยนสัญญาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เลิกสัญญาแม่งไปเฉย ๆ รัฐจะต้องชดเชยค่าเสียหายให้แก่เอกชนที่เขาไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา

แต่ในกรณีที่เอกชนผิดสัญญา รัฐจะต้องดำเนินการอย่างไร แน่นอนที่สุด เป็นสิทธิของรัฐที่จะยกเลิกสัญญาแล้วหาคนมาจัดทำบริการสาธารณะใหม่ แต่นั่นคือ วิธีการสุดท้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เท่านั้น โดยปกติ รัฐจะต้องพิจารณาหลาย ๆ ทางเลือกที่มี และจะต้องใช้มาตรการที่ได้สัดส่วน คือ ๑) หลักประสิทธิภาพ ๒) หลักความจำเป็น และ ๓) หลักมาตรการที่ใช้จะต้องรุนแรงน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ยกตัวอย่างที่เห็นชัด ๆ ก็เช่น กรณี การปราบม๊อบ จะดำเนินการอย่างไร ซึ่งอาจจะมีหลายวิธี เช่น โยนระเบิดใส่ม๊อบ ยิงปืนใส่ม๊อบ ฉีดแก๊สน้ำตา ฉีดน้ำ ฯลฯ ซึ่งอาจจะได้ผลทั้งหมด และ โยนระเบิดใส่ อาจจะมีประสิทธิภาพที่สุด แต่ถามว่าใช้ได้หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า ไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะ มันไม่ได้สัดส่วนกับเรื่องความจำเป็น และความรุนแรงน้อยที่สุด

เรื่อง ITV ก็เช่นกัน ถ้า ITV ผิดสัญญา ไม่จ่ายเงินค่าสัมปทาน .... ถามว่า รัฐยึดคลื่นเขา แล้วเขาจะจ่ายตังค์หรือไม่ .... การที่รัฐยึดได้เพียงอุปกรณ์ มูลค่า ๕๐๐ กว่าล้านบาท คุ้มกับค่าสัมปทานที่เสียไป หากอนุญาตเขาดำเนินกิจการต่อไปแล้วทยอยจ่ายตังค์ให้รัฐต่อไปทีละน้อยทีละน้อย หรือ ระหว่างไม่ยึด แล้วได้รับเงินรายปี มูลค่าหนึ่ง ที่มากกว่า ๕๐๐ ล้านบาท ทางไหนที่ดีกว่ากัน

มีความจำเป็นที่จะต้องยึดหรือไม่ ... มีทางอื่นที่ดีกว่าการยึดฯ หรือไม่ ... หรือ การยึดอุปกรณ์ ปิดสถานีนี้ เป็นมาตรการที่ได้สัดส่วน หรือ เป็นวิธีการที่รุนแรงน้อยที่สุดหรือไม่ .....

ครม. จะต้องตระหนัก และคบคิดให้หนัก ถือทางออกหลาย ๆ ทาง แล้ว พิจารณาว่า ทางไหน ที่จะทำให้การบังคับให้เป็นไปตามสัญญาได้มากที่สุด เป็นวิธีที่จำเป็นที่สุดแล้วหรือไม่ และเป็นวิธีการที่ร้ายแรงน้อยที่สุดหรือไม่ ซึ่งมีทางออกมากมาย เช่นว่า ขยายเวลาให้เขาดำเนินกิจการ แล้วค่อย ๆ ผ่อนชำระต่อไป ฯลฯ

น่าเสียดายที่ ครม. เลือกที่จะไม่คิด การดำเนินการของ ครม. หากจะพิจารณาจริง ๆ จึงเป็นการกระทำผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ อย่างชัดแจ้ง เพราะเห็นได้ชัดว่า ครม. มีทางอื่นที่จะบังคับให้ไอทีวี ปฏิบัติตามสัญญา แต่ ครม. ไม่ทำ กลับเลือกวิธีการทำลายล้างให้แหลกสลาย ทั้ง ๆ ที่ ขัดต่อหลักกฎหมายมหาชนอย่างชัดแจ้ง

ตามหลักกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ... การกระทำของ ครม. จึงแสดงให้เห็นเจตนาอย่างชัดแจ้งว่า มีเจตนาใช้อำนาจในทางไม่ชอบ เพื่อกลั่นแกล้งให้เอกชนที่เข้ามารับสัมปทานได้รับความเสียหายอย่างไม่อาจจะเยียวยาได้ แม้รัฐบาล จะมีอำนาจตามกฎหมาย แต่ใช้ในทางบิดผัน (Abuse of Power) เพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่น .... อย่างนี้ ผิดกฎหมายอาญาชัดแจ้ง




ผมขออนุญาตเตือนสติ .... หากท่านไม่เคารพกฎหมาย นักกฎหมายไม่มีจริยธรรม ... ผมว่า เขาหมดอำนาจเมื่อไหร่ ผมคงได้เห็นคนติดคุกกันระนาวครับ เพราะคุกไม่ได้มีไว้ขังหมาเท่านั้นหรอกครับ....เจ้านาย .... อย่าทำอะไรเป็นการแก้แค้นกันเป็นการส่วนตัวเลย สงสารประเทศไทยกันบ้าง .... แค่นี้ ก็แย่สุด ๆ แล้ว




ที่จริง ยังมีปัญหาทางกฎหมายมากมาย ผมไม่มีรายละเอียดสัญญา ไม่งั้น คงจะต้องมานั่งพิจารณาโดยละเอียดต่อไป เป็นต้นว่า ศาลปกครองมีอำนาจเข้าตัดสินคดีก่อนหน้านี้ เรื่องการตกลงกันของอนุญาโตตุลาการเกี่ยวกับการเพิ่มรายการบันเทิง และค่าลดค่าสัมปทานลงหรือไม่ เพราะกฎหมายเรื่อง ให้มีอนุญาโตตุลาการ กำหนดไว้อย่างชัดเจน แม้ในสัญญาทางปกครอง ก็มีอนุญาโตตุลาการ โดยปกติ ถ้าไม่ผิดพลาดร้ายแรง หรือ ผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง ศาลจะไม่แทรกแซงคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการเลย

กรณีค่าสัมปทาน และค่าปรับที่กำหนดกันเป็นแสน ๆ ล้านบาทนี่ มันบังคับได้หรือไม่ ... มันถือเป็นข้อสัญญา ที่ Unconscionable หรือ Unjust Enrichment หรือไม่ ถ้ามันไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง จะมีหลักการที่เรียกว่า Blue Pencil Rule หรือ ให้ศาลเปลี่ยนแปลงข้อสัญญาให้เป็นธรรมได้หรือไม่ ประการใด กรณีนี้ จะเห็นว่า รัฐได้ยินยอมให้ ITV ปรับผังรายการเอง วันดี คืนดี จะมาเรียกค่าปรับ โดยอ้างว่าผิดสัญญา ศาลปกครอง ไม่น่าจะที่จะตัดสินตามได้ .... เพราะมันไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง

ต้องติดตามกันต่อไป เพราะศาลปกครอง เข้ามาผูกปมให้กับตนเอง ตอนเข้ามาแทรกแซงเรื่องอนุญาโตตุลาการแล้ว ก็ต้องดูกันต่อไปว่า ศาลปกครองจะแก้ปมที่ตนผูกไว้อย่างแน่นหนาได้หรือไม่ .... ศาลปกครอง ก็เคยตัดสินผิดพลาดมาแล้ว กรณีการแปรรูปการไฟฟ้า .... ท่านว่า ทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจ เป็นที่ราชพัสดุ ฯลฯ ซึ่งผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง .... ไม่รู้ว่า ศาลปกครอง ตัดสินออกมาได้อย่างไร .....

No comments: